fbpx

ดื่มน้ำแค่ไหน ป้องกันโรคไต

ร่างกายของมนุษย์มีน้ำเป็นส่วนประกอบกว่าร้อยละ 60 และในการทำงานของระบบต่างๆ ของร่างกายล้วนต้องอาศัยน้ำ เป็นสารหล่อลื่นตามข้อต่อ มีส่วนช่วยในการย่อยและดูดซึมสารอาหาร นอกจากนี้น้ำยังช่วยรักษาระบบสมดุลในร่างกาย ทั้งสมดุลกรดด่างและรักษาอุณหภูมิ รวมถึงเป็นส่วนสำคัญในการขับของเสียที่ได้จากระบบต่าง ๆในร่างกายทิ้งในรูปของปัสสาวะผ่านการทำงานของไต1,2

ไต ทำหน้าที่เหมือนโรงงานบำบัดน้ำเสียให้แก่ร่างกาย โดยอาศัยการหมุนเวียนของเลือดที่จะนำของเสียมาให้ไตกรองของเสียเหล่านั้นออกเพื่อขับทิ้งในรูปของปัสสาวะ และจะรับน้ำและสารอาหารที่ไตดูดซึมกลับมาได้ไปหมุนเวียนต่อทั่วร่างกาย ดังนั้นหากไตทำงานได้น้อยลงจากโรคไตเรื้อรังก็อาจทำให้มีของเสียคั่งในร่างกายมากขึ้น และถูกเลือดนำไปยังส่วนต่าง ๆทำให้อวัยวะในร่างกายเกิดการทำงานที่ผิดปกติ จนทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์เช่น การคลื่นไส้อาเจียน เบื่ออาหาร กล้ามเนื้ออ่อนแรง จนอาจมีอันตรายถึงชีวิต

สาเหตุของการเกิดโรคไตเรื้อรัง

  1. โรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิต โรคไตอักเสบจากภูมิคุ้มกันบกพร่อง การติดเชื้อ หรือมีถุงน้ำในไต เป็นต้น หากคุมโรคเหล่านี้ได้ไม่ดีอาจทำให้ไตเสื่อมก่อนเวลาที่ควร3
  2. พันธุกรรมเกิดจากความผิดปกติในระดับพันธุกรรม โดยสามารถแสดงความผิดปกติได้ตั้งแต่วัยเด็กจนโต ขึ้นอยู่กับชนิดของความผิดปกติ6
  3. การใช้ยาแก้ปวดรุนแรง ,ยาต้านอักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์ (Non-steroidal Anti-inflammatory drugs: NSAIDs) ,ยาสมุนไพรสกัดเข้มขึ้น ติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน ก็อาจทำให้เกิดไตอักเสบเฉียบพลับจนทำให้เกิดโรคไตเสื่อมเรื้อรังตามมา3
  4. อายุเพิ่มขึ้น เนื่องจากไตทำงานตลอดเวลา เหมือนโรงงานบำบัดน้ำเสียที่ไม่มีวันหยุด จึงเสื่อมลงไปตามเวลา3
  5. นิ่วอุดตันที่ไต เกิดได้จากการดื่มน้ำน้อย รับประทานอาหารที่มีรสเค็มจัด รับประทานโปรตีนจากสัตว์ปริมาณมาก4,5

การป้องกัน หรือชะลอความเสื่อมของโรคไตเรื้อรัง10

  1. ควรตรวจสุขภาพเป็นประจำ อย่างน้อย 1 ครั้งต่อปี เนื่องจากโรคไตในระยะต้นมักมีอาการแสดงไม่ชัดเจน ดังนั้นการตรวจเลือดจะทำให้คุณทราบถึงการดำเนินของโรคไต และสามารถป้องกันหรือรักษาได้อย่างทันท่วงที
  2. หากมีโรคประจำตัวโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิต โรคไตอักเสบจากภูมิคุ้มกันบกพร่อง การติดเชื้อ หรือมีถุงน้ำในไต ควรควบคุมโรคเหล่านี้ให้ได้ เนื่องจากโรคประจำตัวเหล่านี้สามารถเป็นสาเหตุทำให้ไตเสื่อมได้ในอนาคต
  3. การลดความเค็ม ลดความหวานและลดความมันในอาหาร จะช่วยให้ควบคุมโรคประจำตัวข้างต้นทั้งป้องกันและชะลอความเสื่อมในการเป็นโรคไตได้
  4. ไม่ใช้ยาแก้ปวด หรือยาแก้อักเสบรวมถึงยาสมุนไพรเกินความจำเป็น หรือไม่ได้ใช้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ เพราะยาเหล่านี้อาจทำให้ไตอักเสบเฉียบพลันและก่อให้เกิดเป็นโรคไตเรื้อรังในอนาคตได้
  5. การดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอต่อวัน เพื่อช่วยให้มีน้ำเพียงพอต่อการทำงานของอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย ช่วยในการขับของเสียและทำให้ปัสสาวะไม่เข้มข้นจนก่อให้เกิดนิ่วได้4,5

ปริมาณน้ำที่เพียงพอต่อวัน7

          สำนักโภชนาการระบุปริมาณน้ำที่เหมาะสมในบุคคลสุขภาพดีแต่ละช่วงอายุในเอกสารปริมาณสารอาหารอ้างอิงที่ควรได้รับประจำวันสำหรับคนไทย พ.ศ. 2563 ดังตารางด้านล่าง

ตารางดื่มน้ำ-EWC
ตารางปริมาณการดื่มน้ำในแต่ละช่วงอายุ

หรือสามารถคำนวณได้จาก น้ำหนักตัว x 30-35 มิลลิลิตร/วัน8

เช่น หนัก 50 ควรได้รับน้ำ 50*30 ถึง 50*35 = 1500-1750 ml

การดื่มน้ำมากกว่าความต้องการของร่างกายอาจทำให้เกิดภาวะโซเดียมในเลือดต่ำ ทำให้เกิดอาการมึน สับสน คลื่นไส้อาเจียนได้ แม้อาการนี้จะเกิดขึ้นได้น้อยมากในกลุ่มคนที่มีสุขภาพดี แต่จากการศึกษาพบว่าคนที่ดื่มน้ำเปล่ามากกว่า 5 ลิตรต่อวันจะมีระดับโซเดียมในเลือดต่ำกว่าที่ควรเป็น12 ดังนั้นควรดื่มน้ำในปริมารที่พอดีต่อร่างกาย อาจดื่มเพิ่มได้เล็กน้อยหากอากาศร้อนหรือทำกิจกรรมที่ต้องเสียเหงื่อมากกว่าปกติ

ชนิดของน้ำที่แนะนำให้ดื่ม เพื่อ ป้องกันโรค ไต

1.น้ำเปล่า ปัจจุบันมีกระบวนการกรองน้ำที่หลากหลายตามความสามารถของเครื่องกรองน้ำ เช่น เครื่องกรองน้ำระบบ RO (Reverse Osmosis), เครื่องกรองน้ำระบบ UV, เครื่องกรองน้ำระบบ UF และเครื่องกรองน้ำระบบ MF ซึ่งกระบวนการกรองน้ำในแต่ละระบบ เป็นการกรองสิ่งสกปรกและฆ่าเชื้อโรคที่มากับน้ำเพื่อให้ได้น้ำที่สะอาดเหมาะสมต่อการบริโภค การดื่มน้ำประเภทนี้จึงสามารถป้องกันโรคไตได้หากดื่มน้ำเปล่าในปริมาณที่เหมาะสม ร่วมกับการคุมอาหารและปัจจัยอื่นๆ

น้ำกรอง RO-EWC

2.ชาสมุนไพรใส ที่ไม่ใส่น้ำตาล เช่น น้ำเก็กฮวย น้ำจับเลี้ยง น้ำหล่อฮังก๊วย น้ำใบเตย น้ำตะไคร้ เป็นต้น โดยน้ำสมุนไพรเหล่านี้เมื่อไม่มีการเติมน้ำตาลก็อาจะเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งให้คนที่ไม่ชอบดื่มน้ำเปล่า หันมาดื่มน้ำมากขึ้นได้ โดยไม่เป็นผลเสียต่อไต

ชาสมุนไพร-EWC

น้ำเปล่าสะอาดและชาไม่เติมน้ำตาลจึงเป็นสิ่งที่แนะนำมากกว่าการดื่มน้ำที่มีการเติมน้ำตาล เช่น พวกน้ำหวาน น้ำอัดลม น้ำผลไม้ เครื่องดื่มเกลือแร่ เพราะการดื่มน้ำที่มีส่วนประกอบของน้ำตาลอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคไต11

ทั้งนี้ในผู้ป่วยโรคไตที่มีการจำกัดน้ำควรมีการตวงปริมาณน้ำจากน้ำแกง น้ำซุปในอาหารด้วย เพราะการรับประทานน้ำที่มากกว่าความสามารถในการขับทิ้งอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภาวะน้ำเกิน รวมถึงในน้ำแกงและน้ำซุปเหลาะนั้นมีส่วนประกอบของไขมัน และความเค็มซึ่งส่งผลเสียต่อการทำงานของไต ดังนั้นการรับประทานน้ำซุปน้อยลงก็เป็นอีกแนวทางหนึ่งที่ช่วยชะลอความเสื่อมของไตได้

สรุป

ความต้องการน้ำในแต่ละบุคคลขึ้นอยู่กับอายุ เพศ ส่วนสูง น้ำหนักตัว กิจกรรมที่ทำและโรคประจำตัว การดื่มน้ำเพื่อป้องกันการเกิดโรคไตในกลุ่มคนสุขภาพดีทั่วไป แนะนำให้ดื่มน้ำเปล่าอย่างน้อย 1.7 – 2 ลิตรต่อวัน ร่วมกับการตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ ควบคุมอาหารลดหวาน มัน เค็ม ไม่ใช้ยาเกินความจำเป็นหรือนอกเหนือการดูแลจากแพทย์

สำหรับผู้ป่วยโรคไต การดื่มน้ำเปล่าให้พอดีต่อความต้องการอาจช่วยชะลอความเสื่อมของไตได้ดีกว่าการดื่มน้ำมากหรือน้อยจนเกินไป ทั้งนี้ควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์ที่ดูแล เพื่อประเมินปริมาณน้ำที่เหมาะสม

สอบถามเพิ่มเติม Add Line ปรึกษานักกำหนดอาหาร

ดูแลสุขภาพของคุณให้ถูกวิธี

โปรแกรมปรึกษานักกำหนดอาหารคืออะไร ?

พร้อมรับคำปรึกษาจาก

นักกำหนดอาหารวิชาชีพ

ไม่พลาดบทความด้านโภชนาการ

ของ อีทเวลล์คอนเซปต์ ก่อนใคร

แหล่งอ้างอิง

  1. Jéquier, E., & Constant, F. (2010). Water as an essential nutrient: the physiological basis of hydration. European journal of clinical nutrition64(2), 115–123. https://doi.org/10.1038/ejcn.2009.111
  2. Water and Healthier Drinks. (n.d.). Centers for Disease Control and Prevention. https://www.cdc.gov/healthyweight/healthy_eating/water-and-healthier-drinks.html
  3. Chronic Kidney Disease (CKD). (n.d.). National Institute of Diabetes and Digestive and Kidney Diseases. https://www.niddk.nih.gov/health-information/kidney-disease/chronic-kidney-disease-ckd
  4. Kidney stone. (n.d.). National Health Service. https://www.nhs.uk/conditions/kidney-stones/
  5. Alelign, T., & Petros, B. (2018). Kidney Stone Disease: An Update on Current Concepts. Advances in urology2018, 3068365. https://doi.org/10.1155/2018/3068365
  6. Hildebrandt F. (2010). Genetic kidney diseases. Lancet (London, England), 375(9722), 1287–1295. https://doi.org/10.1016/S0140-6736(10)60236-X
  7. คณะกรรมการและคณะทำงานปรับปรุงข้อกำหนดสารอาหารที่ควรได้รับประจำวันสำหรับคนไทย. (2020). ปริมาณสารอาหารอ้างอิงที่ควรได้รับประจำวันสำหรับคนไทย พ.ศ. 2563. สำนักโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข.
  8. Lord L. M. (2021). Fluid Needs in the Older Adult Receiving Tube Feedings. Nutrition in clinical practice : official publication of the American Society for Parenteral and Enteral Nutrition, 36(2), 360–368. https://doi.org/10.1002/ncp.10634
  9. Holliday, M.A. and Segar, W.E. (1957) The maintenance need for water in parenteral fluid therapy. Pediatrics, 19, 823-832.
  10. Chronic Kidney Disease Initiative  Prevention and Risk Management.  July 12, 2022. Centers for Disease Control and Prevention. https://www.cdc.gov/kidneydisease/prevention-risk.html
  11. Rebholz, C. M., Young, B. A., Katz, R., Tucker, K. L., Carithers, T. C., Norwood, A. F., & Correa, A. (2019). Patterns of Beverages Consumed and Risk of Incident Kidney Disease. Clinical journal of the American Society of Nephrology : CJASN14(1), 49–56. https://doi.org/10.2215/CJN.06380518
  12. Rangan, G. K., Dorani, N., Zhang, M. M., Abu-Zarour, L., Lau, H. C., Munt, A., Chandra, A. N., Saravanabavan, S., Rangan, A., Zhang, J. Q. J., Howell, M., & Wong, A. T. (2021). Clinical characteristics and outcomes of hyponatraemia associated with oral water intake in adults: a systematic review. BMJ open11(12), e046539. https://doi.org/10.1136/bmjopen-2020-046539
ส่งข้อความถึงเรา