fbpx

วันเกิดกาลิเลโอ ให้อะไรกับเรา

วันนี้ 15 กุมภาพันธ์ เป็นวันคล้ายวันเกิดของ “กาลิเลอิ กาลิเลโอ – บิดาแห่งวิทยาศาสตร์สมัยใหม่” จึงอยากขอหยิบยกผลงานและข้อคิดเตือนใจที่ได้จากนักวิทยาศาสตร์คนนี้มาเล่าให้กันฟัง

นักศึกษาและอาจารย์ผู้ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ

ในยุคนั้น (ช่วงศตวรรษที่ 16 ยุค ค.ศ. 1501-1600) ทฤษฎีความรู้ทางด้านการแพทย์และวิทยาศาสตร์จะผูกติดกับการให้ความรู้ทางด้านศาสนา กล่าวคือ ศาสนาในช่วงนั้นผูกขาดความรู้ทางวิทยาศาสตร์ทั้งแบบพื้นฐาน ประยุกต์และการแพทย์เอาไว้เกือบทั้งหมด เจ้าของทฤษฎีหลาย ๆ ชิ้นคือ อริสโตเติล ผู้ที่เป็นเหมือนบิดาของวิทยาศาสตร์และการแพทย์ของคนในสมัยนั้น ซึ่งในระหว่างการเรียนของกาลิเลโอนั้น ไม่ได้เชื่อทฤษฎีทั้งหมด หากแต่มีการตั้งคำถามว่า “ทำไมถึงเป็นแบบนั้นล่ะ” อยู่บ่อย ๆ จนทำให้อาจารย์หลายคนไม่ค่อยพอใจกับพฤติกรรมของเขานัก กระนั้นเขาได้เปลี่ยนเส้นทางจากการเรียนการแพทย์ไปทางคณิตศาสตร์แทน เพราะไม่ต้องท่องจำอะไรมากมาย ใช้ความเข้าใจและการอธิบายได้ เขาได้รับเชิญให้เป็นอาจารย์ในภายหลังและสอนให้นักศึกษาทั้งหลายของเขา รู้จักคิดวิเคราะห์ ผ่านการสนทนา ถกเถียงและวิพากษ์วิจารณ์ร่วมกันอยู่เสมอ และหลาย ๆ เรื่องที่ถูกหยิบยกขึ้นมาวิเคราะห์กันนั้นก็เป็นของอริสโตเติลและเพลโต ซึ่งมีไม่น้อยที่ไม่สามารถพิสูจน์หรืออธิบายได้ เพราะไม่มีหลักฐานรองรับแต่อย่างใด

ทำให้ดู ย่อมดีกว่าพูดให้ฟัง

             ทฤษฎีที่สร้างชื่อเสียง (และศัตรู) มากที่สุดของกาลิเลโอคือ “วัตถุมวลที่แตกต่างกัน จะเท่าใดก็ตามจะตกลงถึงพื้นพร้อมกัน” ซึ่งขัดแย้งกับทฤษฎีของอริสโตเติล และได้พิสูจน์ให้เห็นจากการหย่อนของสองสิ่งที่น้ำหนักต่างกันจากหอเอนปิซ่า ผลคือตกลงถึงพื้นพร้อมกัน การกระทำนี้ทำให้ปราชญ์หลายคนที่เลื่อมใสศรัทธาในอริสโตเติลไม่พอใจ หาว่ากาลิเลโอตั้งใจลบหลู่อริสโตเติล พยายามที่จะล้มล้างคำสอนของปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ บรรดาอาจารย์ในมหาวิทยาลัยจึงออกมาต่อต้านกาลิเลโอ เช่น ยุไม่ให้นิสิตเข้าฟังกาลิเลโอสอน ไม่ร่วมวงเสวนากับกาลิเลโอด้วย

ยึดมั่นในความคิดตนที่พิสูจน์ได้ แม้จะต้องต่อสู้กับอำนาจ

             ทฤษฎีว่าด้วยเรื่อง “โลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล” ถูกส่งต่อมานานมาก และยังเป็นหนึ่งในเนื้อหาคำสอนของคัมภีร์ไบเบิลอีกด้วย หากแต่มีนักวิทยาศาสตร์และดาราศาสตร์หลายคนที่พยายามอธิบายด้วยหลักการและเหตุผลว่า “โลกเราไม่ได้เป็นศูนย์กลางอย่างที่คิด แต่ดวงอาทิตย์ต่างหากที่เป็น” (ข้อมูลในยุคนั้น) ซึ่งกาลิเลโอเห็นพ้องกับความคิดของโคเปอร์นิคัส ผู้ที่ตั้งข้อสงสัยนี้ขึ้น แต่ก็เงียบเอาไว้ไม่เสียงดังมาก และกาลิเลโอพิสูจน์ถึงทฤษฎีนี้ได้จึงเข้าเฝ้าสันตะปาปาเพื่ออธิบายให้ประมุขของคริสตจักรได้ฟัง แต่พระคาร์ดินัลและนักบวชในที่นั้นยังคงยึดมั่นกับคำสอนของอริสโตเติล (ไม่รู้จะว่ายิ่งใหญ่จริงจริ๊งหรือคนที่ยึดมั่นถือมั่นนี่น่าหมั่นไส้จริงจริ๊ง) ได้กล่าวหาว่ากาลิเลโอต้องการล้มล้างคำสอนซึ่งให้อภัยไม่ได้ และข้อความหนึ่งที่ใช้อธิบายได้ดีที่สุดคือ การชี้แจงของกาลิเลโอว่า “คัมภีร์ไบเบิลไม่ใช่ตำราวิทยาศาสตร์ ไม่ได้เขียนโดยนักวิทยาศาสตร์ ดังนั้นคำสอนต่างๆ ในไบเบิลจึงนำมาอ้างอิงในแวดวงวิชาการไม่ได้” ซึ่งนับว่าเป็นแนวคิดที่ฝ่าฝืนมาก และนับเป็นจุดเริ่มต้นของวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ที่เน้นการพิสูจน์ข้อเท็จจริงได้ อิงตามหลักฐานที่มีและไม่เชื่อข้อมูลในลักษณะที่เชื่อตาม ๆ กันมาแบบไร้เหตุผล

เราได้อะไรจากประวัติกาลิเลโอ

             เล่าร่ายเรื่องมาเสียยืดยาว แอดอยากกระตุ้นความคิดและให้ข้อคิดกับหลาย ๆ คน เป็นข้อ ๆ ให้อ่านง่าย ดังนี้

  1. การเชื่อในข้อมูลว่าต้องมีหลักฐานที่รองรับ เพียงพอและเชื่อถือได้
  2. การเชื่อในบุคคลหรือการบอกต่อ หาใช่วิถีของปราชญ์และผู้มีปัญญาไม่
  3. การถกเถียงวิชาการ ควรเกิดขึ้นไปตามข้อมูล หลักการและเหตุผล มิใช่อารมณ์ (อย่างที่คนส่วนใหญ่ตอนนั้นทำ)

ไม่เช่นนั้นแล้ว จะเรียกวิทยาศาสตร์ได้อย่างไร จริงไหม ?

ส่งข้อความถึงเรา