fbpx

กินอาหารอย่างไรเมื่อ ไขมันพอกตับ

ไขมันพอกตับ (Fatty Liver) คือ ภาวะที่ตับมีการสะสมไขมันในรูปของไตรกลีเซอไรด์ ซึ่งเป็นภาวะที่สามารถพบได้บ่อยและไม่แสดงอาการผิดปกติใด ๆ แต่ภาวะไขมันพอกตับนั้นจะส่งผลให้การทำงานของตับแย่ลง และนำไปสู่สุขภาพโดยรวมที่แย่ลงอีกด้วย หากเป็นในระยะเวลานานและรุนแรงพอ จะก่อให้เกิดมะเร็งตับได้ แล้วแบบนี้ผู้ที่มีภาวะไขมันพอกตับควรเลือกกินอาหารอย่างไรหรือคุมอาหารอย่างไร เพื่อชะลอการเสื่อมลงของตับ รวมถึงลดปริมาณของไขมันที่สะสมในตับลงได้ 

เจาะลึกเรื่องชนิดและอาการของ ไขมันพอกตับ 

ไขมันพอกตับ เป็นภาวะที่มีไขมันชนิดไตรกลีเซอไรด์สะสมอยู่ภายในเซลล์ตับมากขึ้น ส่งผลให้ตับเกิดการอักเสบและกลายเป็นตับแข็งในที่สุด ซึ่งในขณะเดียวกันนั้น การทำงานของตับก็จะลดลงแล้วก็ส่งผลให้สุขภาพร่างกายโดยรวมแย่ลงอีกด้วย แต่ว่าโรคไขมันพอกตับนั้นไม่มีอาการแสดงออกอย่างชัดเจน ทำให้เราจะทราบว่าเป็นไขมันพอกตับอยู่หรือไม่จากการตรวจสุขภาพเท่านั้น โดยโรคไขมันพอกตับนั้น จะถูกแบ่งได้เป็น 2 ประเภท ดังนี้ 

  1. ไขมันพอกตับที่เกิดจากแอลกอฮอล์ (Alcoholic fatty liver) คือ การเกิดภาวะตับแข็งจากการดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณจนทำให้ตับเสื่อมสภาพลง และเกิดการสะสมของไขมันที่เซลล์ตับ 
  1. ไขมันพอกตับที่ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์ (Non-alcoholic fatty liver) คือ ภาวะตับแข็งที่มีความผิดปกติจากโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบเผาผลาญ เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูง เป็นต้น การกินอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ เช่น การกินอาหารที่มีไขมันสูง อาหารที่มีพลังงานสูง หรืออาหารที่มีน้ำเชื่อมฟรุกโตสสูง (High fructose corn syrup, HFCS) เป็นต้น หรือแม้แต่การป่วยที่บริเวณตับจากเชื้อไวรัสอย่างไวรัสตับอักเสบ B และไวรัสตับอักเสบ C ซึ่งก่อให้เกิดการสะสมไขมันจำนวนมากที่บริเวณตับ 

และแม้ว่าอาการของไขมันพอกตับนั้นจะไม่ชัดเจน แต่ก็จะมีอาการแสดงเล็กน้อยให้เห็นได้เมื่อตับมีการสะสมของไขมันในปริมาณมาก ซึ่งอาการที่สามารถพบได้บ่อยคือ 

  • เหนื่อยและอ่อนเพลีย 
  • คลื่นไส้ ท้องอืดหรือรู้สึกไม่สบายท้อง 
  • น้ำหนักลดลงโดยไม่ได้ตั้งใจ 
  • ไม่อยากอาหาร 
  • มีอาการมึนงง และสมาธิลดลง 
  • หากอยู่ในระยะที่รุนแรงแล้ว อาจพบว่ามีอาการเหลืองตามตาขาว ผิวหนังและส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ อันเนื่องมาจากปัญหาการอุดตันของระบบต่าง ๆ ภายในตับ เนื่องจากภาวะตับแข็ง 

แม้ว่าโรคไขมันพอกตับ จะมีอาการแสดงเล็กน้อย แต่มักจะคล้ายคลึงกับการที่พักผ่อนไม่เพียงพอ จึงอาจทำให้ยากต่อการทราบว่าตนเองเกิดภาวะไขมันพอกตับแล้ว ทำให้ส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะสามารถรู้ว่าตนเองมีไขมันพอกตับจะมาจากการตรวจเลือดในการตรวจสุขภาพประจำปีหรือตามคำแนะนำของแพทย์ 

5 ทริคง่าย ๆ ในการกินเมื่อไขมันพอกตับ 

ด้วยปัจจัยหลาย ๆ อย่างทำให้ผู้ที่มีภาวะไขมันพอกตับจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต่าง ๆ ให้ดีต่อสุขภาพมากขึ้น เพื่อที่จะชะลอการสะสมไขมันที่ตับและการนำไขมันที่สะสมไปใช้เพื่อให้ตับกลับมาใช้งานได้ดีมากขึ้น ซึ่งเราก็ได้รวบรวมเทคนิคง่าย ๆ ที่จะช่วยให้คุณสามารถดูแลตับได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้ 

  1. ควบคุมน้ำหนักตัว เนื่องจากน้ำหนักตัวที่มากกว่าเกณฑ์ส่วนใหญ่จะมาจากการสะสมของไขมัน ดังนั้น หากเราสามารถลดปริมาณไขมันโดยรวมและไขมันที่สะสมในช่องท้องได้ ก็จะช่วยให้ไขมันที่แทรกอยู่ในตับลดลงได้ด้วย แต่หากผู้ที่มีภาวะอ้วนมาก เช่น ค่าดัชนีมวลกายมากกว่า 35 กิโลกรัมต่อตารางเมตร อาจเข้ารับคำแนะนำจากแพทย์ในการลดน้ำหนัก หรือเข้าร่วมคอร์สลดน้ำหนักของเราที่จะช่วยให้คำแนะนำก็ได้เช่นกัน 
  1. ลดหรือหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ขนมและเครื่องดื่มที่มีส่วนประกอบของ Fructose Corn Syrup เพราะทั้งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และอาหารที่มีส่วนประกอบของน้ำเชื่อมฟรุกโตส ล้วนเป็นปัจจัยหลัก ๆ ที่ทำให้ตับเกิดการสะสมของไขมันได้มากขึ้น เดิมทีน้ำตาลฟรุกโตสจะพบในผลไม้ต่าง ๆ และน้ำผึ้ง ซึ่งเป็นอาหารที่เรารับประทานในปริมาณที่ไม่มาก ทำให้ร่างกายได้รับแต่พอดีและไม่ก่อปัญหาต่อสุขภาพ แต่อาหารที่มีการเติม Fructose Corn Syrup จะมีปริมาณของฟรุกโตสที่เข้มข้นกว่าอาหารจากธรรมชาติ จึงทำให้เกิดปัญหาไขมันพอกตับ จากการได้รับฟรุกโตสในปริมาณมาก อีกทั้งอาหารที่มีส่วนประกอบของน้ำเชื่อมฟรุกโตสยังมีพลังงานสูง เสริมให้เกิดการสะสมไขมันในช่องท้อง  ทำให้เกิดภาวะอ้วนลงพุงที่เป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดภาวะไขมันพอกตับอีกด้วย 
  1. เลือกกินอาหารให้ดีต่อสุขภาพ โดยการเลือกกินอาหารที่มีส่วนประกอบของไขมันพอดี คาร์โบไฮเดรตปริมาณเหมาะสมเนื่องจากสามารถช่วยลดพลังงานที่ได้รับต่อวันลง ช่วยให้อิ่มท้องไวและนานขึ้นได้ รวมถึงปริมาณน้ำตาลที่เป็นสารอาหารที่ตับนำไปเก็บสะสมในรูปแบบของไขมันเมื่อได้รับน้ำตาลมากเกินไปอีกด้วย และเสริมด้วยใยอาหารจากผัก ผลไม้ และธัญพืชไม่ขัดสี ซึ่งมีใยอาหารและวิตามินแร่ธาตุต่าง ๆ   
  1. ออกกำลังกายเป็นประจำอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ เพื่อเป็นการใช้พลังงานส่วนเกินที่ร่างกายสะสมไว้ในรูปของไขมัน เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และเพิ่มการตอบสนองต่ออินซูลินให้ดีขึ้น ทำให้ร่างกายมีประสิทธิภาพในการใช้น้ำตาลเป็นพลังงานได้ดีขึ้น ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลได้ดียิ่งขึ้น และเกิดไขมันสะสมลดลง 
  1. หลีกเลี่ยงการใช้ยาหรือผลิตภัณฑ์อาหารเสริมอื่น ๆ นอกเหนือจากที่แพทย์แนะนำ เนื่องจากยาและผลิตภัณฑ์อาหารเสริมหลาย ๆ ชนิดอาจจะต้องผ่านกระบวนการเผาผลาญที่ตับ หากตัดสินใจใช้ยาหรืออาหารเสริมต่าง ๆ โดยไม่ได้ปรึกษาก่อนจะเป็นการทำให้ตับมีภาระหนักขึ้น ฟื้นตัวได้ช้าลง และส่งผลเสียต่อคนไข้อีกด้วย  

และนี่ก็คือ 5 เทคนิคง่าย ๆ ที่จะช่วยให้ผู้ที่มีภาวะไขมันพอกตับหรือคนที่เริ่มมีความเสี่ยงในการเกิดภาวะนี้สามารถดูแลตัวเองได้อย่างง่าย ๆ  

สอบถามเพิ่มเติม Add Line ปรึกษานักกำหนดอาหาร

ดูแลสุขภาพของคุณให้ถูกวิธี

โปรแกรมปรึกษานักกำหนดอาหารคืออะไร ?

พร้อมรับคำปรึกษาจาก

นักกำหนดอาหารวิชาชีพ

ไม่พลาดบทความด้านโภชนาการ

ของ อีทเวลล์คอนเซปต์ ก่อนใคร

อ้างอิง 

Antunes C, Azadfard M, Hoilat GJ, et al. Fatty Liver. [Updated 2021 Feb 9]. In: StatPearls [Internet]. Treasure Island (FL): StatPearls Publishing; 2021 Jan-. Available from: https://www.ncbi.nlm.nih.gov/books/NBK441992/ 

Borghouts, L. B., & Keizer, H. A. (2000). Exercise and insulin sensitivity: a review. International journal of sports medicine, 21(1), 1–12. https://doi.org/10.1055/s-2000-8847  

Jang, E. C., Jun, D. W., Lee, S. M., Cho, Y. K., & Ahn, S. B. (2018). Comparison of efficacy of low-carbohydrate and low-fat diet education programs in non-alcoholic fatty liver disease: A randomized controlled study. Hepatology research : the official journal of the Japan Society of Hepatology, 48(3), E22–E29. https://doi.org/10.1111/hepr.12918  

ส่งข้อความถึงเรา