fbpx

กินน้ำมันปลา ไม่ได้ช่วยเรื่องสมอง

เรื่องของความเชื่อเกี่ยวกับอาหารและสุขภาพค่อนข้างมีมากมาย รวมถึงการบอกกันปากต่อปากก็เช่นกัน แต่เคยคิดกันบ้างไหมว่า เรื่องไหนเป็นเรื่องจริง เรื่องไหนเป็นแค่การบอกโดยไม่มีหลักฐานและพูดเพียงว่า “เค้าบอกว่า….” เท่านั้น ซึ่งข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยการบอกต่อเฉย ๆ นะครับ

กินปลาเยอะๆ แล้วจะฉลาด ฟังกันมาตั้งนานนมแล้ว เรามาคุยด้วยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ดีกว่าว่า สรุปแล้วช่วยหรือไม่ช่วยกันแน่ ?

ประเด็นเรื่องที่ชอบบอกเด็ก ๆ ว่า​ “กินปลาแล้วฉลาด” เรื่องนี้เป็น “เรื่องจริง” อยู่ครับ เพราะพัฒนาการของเด็กตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาจนถึงประมาณ 5 ขวบ มีผลการศึกษายืนยันว่ากรดไขมันโอเมก้า 3 มีบทบาทในการพัฒนาของระบบประสาทและการทำงานของสมอง และในเด็กที่มีอายุ 2 – 9 ปี พบว่าโอเมก้า 3 มีส่วนช่วยในการสนับสนุนการรักษาเด็กที่มีพัฒนาการช้าได้ ซึ่งในความเป็นจริงเด็กเหล่านี้ควรได้รับโอเมก้า 3 ตั้งแต่เป็นทารกอยู่ในครรภ์มารดาด้วยซ้ำ แต่เราก็ยังพอมีโอกาสเพิ่มเติมให้เด็กได้รับหลังจากคลอดออกมาก็ยังได้

แล้วผู้ใหญ่กินแล้วไม่ฉลาดได้ไง ในเมื่อเด็กยังได้ผลเลย?

อาจมีคนที่กำลังคิดเช่นนี้อยู่ ขออธิบายว่าพัฒนาการเจริญเติบโตของสมอง ทั้งในแง่ขนาด รอยหยักและการพัฒนาของเส้นใยประสาทจะพัฒนาอย่างรวดเร็วและเพิ่มจำนวนได้เร็วที่สุดในวัยเด็ก (เฉลี่ยจนถึงอายุประมาณ 5 ปี) หลังจากนั้นแล้วจะค่อยๆ เจริญช้าลงจนถึงอายุประมาณ 30 หลังจากจุดนี้ไปร่างกายจะเน้นไปที่การรักษาสภาพและฟื้นฟูเมื่อเสียหายมากกว่าการสร้างใหม่

เรายังมีความหวังที่จะให้โอเมก้า 3 รักษาสมองไม่ให้เสื่อมอยู่อีกไหม?

มีงานวิจัยในปี 2015 นี้ โดย Chew EY และคณะ ซึ่งได้รายงานผลของการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกลุ่มไขมัน โอเมกา 3, สารลูทีนและซีแซนทิน (Lutein/Zeaxanthine) ที่มีผลต่อระบบประสาทและการทำงานของสมอง ซึ่งพบว่า ผลของการประเมินการทำงานของระบบประสาทและสมองไม่มีความแตกต่างกันระหว่างกลุ่มที่ได้รับการเสริมสารอาหารและกลุ่มที่ไม่ได้รับการเสริมสารอาหาร ซึ่งเป็นผลการวิจัยที่มีคุณภาพเชื่อถือได้ เพราะมีวิธีการปรับตัวแปรและแก้อคติการวิจัยต่าง ๆ ทั้งปัจจัยอายุ เพศและอื่น ๆ แล้วก็ตาม

เรียกได้ว่างานนี้ออกมาเคลียร์ข้อสงสัยของใครหลายคนเลยว่าสรุปแล้ว กินโอเมกา 3 สกัดแล้วช่วยให้ฉลาดขึ้นในวัยที่ “หยุดโต” แล้วไม่ได้ผลนะครับ แล้วอย่างนี้จะยังกินปลาหรือโอเมก้า 3 ต่อไปอีกดีหรือไม่ ? คำตอบคือ “ควร” เพราะว่ายังคงมีการศึกษาหลายชิ้นที่รองรับว่า กรดไขมันโอเมก้า 3 ที่ได้รับจากอาหารจำพวกปลานั้นสามารถลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะโรคหลอดเลือดแดงแข็งและตีบตันได้ (Atherosclerosis) หรือพูดๆ ง่ายก็คือ ยังคงช่วยปกป้องภาวะโรคหัวใจและหลอดเลือดได้นั่นเอง เรียกได้ว่า ไม่ช่วยสมองแต่ยังคงช่วยหัวใจอยู่ดี

ทีนี้กินอย่างไรดี สมาคมโรคหัวใจอเมริกายังคงยืนยันว่า “การรับประทานปลาเป็นอาหารสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง สามารถให้กรดไขมันโอเมก้า 3 ทั้ง DHA EPA เพียงพอต่อการลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ” ทั้งนี้ขอให้เป็นเนื้อปลาจริงๆ นะคะ หากเป็นเมนูปลาแปรรูป อย่างเช่นปลาร้าหรือปลาดุกฟูนี้ไม่นับจะดีกว่า ส่วนการรับประทานน้ำมันปลานั้น ขอให้เป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่รับประทานปลาไม่ได้เพราะเหม็นคาวจริงๆ ไม่อยากให้พึ่งเป็นทางเลือกหลักเพราะสารอาหารควรจะได้รับจากการรับประทานอาหารมากกว่า

ถ้ารู้อย่างนี้แล้ว หันมารับประทานปลาเป็นหลักเพื่อรักษาและป้องกันโรคหัวใจ พร้อม ๆ ฝึกพัฒนาและรักษาสภาพสมองด้วยการเปลี่ยนกิจวัตรประจำวันให้แอคทีฟมากขึ้นและออกกำลังกาย ดื่มน้ำให้เพียงพอ และป้องกันตัวเองจากสารอนุมูลอิสระด้วยการรับประทานผักผลไม้ให้เพียงพอกันดีกว่านะครับ

สอบถามเพิ่มเติม Add Line ปรึกษานักกำหนดอาหาร

ดูแลสุขภาพของคุณให้ถูกวิธี

โปรแกรมปรึกษานักกำหนดอาหารคืออะไร ?

พร้อมรับคำปรึกษาจาก

นักกำหนดอาหารวิชาชีพ

ไม่พลาดบทความด้านโภชนาการ

ของ อีทเวลล์คอนเซปต์ ก่อนใคร

  • Chew EY, Clemons TE, Agrón E, et al. Effect of Omega-3 Fatty Acids, Lutein/Zeaxanthin, or Other Nutrient Supplementation on Cognitive Function: The AREDS2 Randomized Clinical Trial. JAMA. 2015;314(8):791-801.
  • Rizos EC, Ntzani EE, Bika E, Kostapanos MS, Elisaf MS. Association Between Omega-3 Fatty Acid Supplementation and Risk of Major Cardiovascular Disease Events: A Systematic Review and Meta-analysis. JAMA. 2012;308(10):1024-1033.
ส่งข้อความถึงเรา